เห็ดนางฟ้าภูฐาน
เห็ดนางฟ้ามีรูปร่างลักษณะคล้ายคลึงกับเห็ดนางรม
เห็ดทั้งสองชนิดนี้จัดอยู่ในวงศ์ (family) เดียวกัน
ชื่อ "เห็ดนางฟ้า" เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นในเมืองไทย
คนไทยบางคนเรียกว่าเห็ดแขก เนื่องจากมีผู้พบเห็นเห็ดนี้ครั้งแรกที่ประเทศอินเดีย พบขึ้นตามธรรมชาติบนตอไม้เนื้ออ่อนที่กำลังผุ
ในแถบเมืองแจมมู (Jammu) บริเวณเชิงเขาหิมาลัย
ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Pleurotus sajor-caju (Fr.) Singer
เห็ดนางฟ้าถูกนำไปเลี้ยงในอาหารวุ้นเป็นครั้งแรกโดย
Jandaik
ในปี ค.ศ. 1947 ต่อมา Rangaswami และ Nadu แห่ง Agricultural University, Coimbattore
ในอินเดียเป็นผู้นำเชื้อบริสุทธิ์ของเห็ดนางฟ้าเข้ามาฝากไว้ที่ American
Type Culture Collection (ATCC) ในอเมริกาเมื่อปี ค.ศ. 1975 ได้ทราบว่าประมาณปี ค.ศ. 1977 ทางกองวิจัยโรคพืช
กรมวิชาการเกษตร เป็นผู้นำเชื้อจาก ATCC เข้ามาประเทศไทยเพื่อทดลองเพาะดู
ปรากฏว่าสามารถเจริญได้ดี
อีกสายพันธุ์หนึ่ง
เป็นเห็ดที่มีผู้นำเข้ามาจากประเทศภูฐาน มาเผยแพร่แก่นักเพาะเห็ดไทย
ได้มีการเรียกชื่อเห็ดนี้ว่า เห็ดนางฟ้าภูฐาน มีหลายสายพันธุ์ซึ่งชอบอุณหภูมิที่แตกต่างกัน
บางพันธุ์ออกได้ดีในฤดูร้อน บ้างพันธุ์ออกได้ดีในฤดูหนาว เป็นที่นิยมมาเพาะเป็นการค้ากันมากลักษณะของดอกเห็ดนางฟ้า มีลักษณะคล้ายกับดอกเห็ดเป๋าฮื้อ และดอกเห็ดนางรม เมื่อเปรียบเทียบกับเห็ดเป๋าฮื้อ ดอกเห็ดนางฟ้าสีจะอ่อนกว่า และมีครีบอยู่ชิดกันมากกว่า เห็ดนางฟ้าสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นนานได้หลายวัน เช่นเดียวกับเห็ดเป๋าฮื้อ เนื่องจากเห็ดชนิดนี้ไม่มีการย่อตัวเหมือนกับเห็ดนางรม ด้านบนของดอกจะมีสีนวลๆ ถึงสีน้ำตาลอ่อน
เห็ดนางฟ้ามีรสอร่อย
เวลานำไปปรุงอาหารจะมีกลิ่นชวนรับประทาน เห็ดชนิดนี้สามารถนำไปตากแห้ง
เก็บไว้เป็นอาหารได้ เมื่อจะนำเห็ดมาปรุงอาหาร ก็นำไปแช่น้ำเห็ดจะคืนรูปเดิมได้
คุณค่าทางโภชนาการของเห็ดนางฟ้าหนัก 100 กรัม
พลังงาน 260.70 กิโลแคลอรี่
ความชื้น 88.90 %
โปรตีน 25.8 %
คาร์โบไฮเดรต 45.60 %
ไขมัน 4.1 %
เยื่อใย 8.6 %
เถ้า 11.8 %
เห็ดนางฟ้าเป็นเห็ดที่มีขนาดของดอกปานกลาง
เนื้อแน่น รสชาติดี กรอบ อร่อย มีไขมันต่ำ และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง
จึงเป็นที่นิยมของตลาดและผู้บริโภคโดยทั่วไปคุณค่าทางโภชนาการของเห็ดนางฟ้าหนัก 100 กรัม
พลังงาน 260.70 กิโลแคลอรี่
ความชื้น 88.90 %
โปรตีน 25.8 %
คาร์โบไฮเดรต 45.60 %
ไขมัน 4.1 %
เยื่อใย 8.6 %
เถ้า 11.8 %
ข้อมูลอ้างอิง : กรมวิชาการเกษตร

เห็ดเป๋าฮื้อ
เห็ดเป๋าฮื้อเป็นเห็ดที่มีหมวกเห็ดเป็นสีครีมถึงสีเทาเข้ม ผิวดอกแห้งขอบหมวกม้วนงอลงเล็กน้อย ครีบใต้ดอกหมวกสีขาวถึงสีครีม บริเวณส่วนกลางดอกจะบุ๋มเล็กน้อย ก้านดอกมีขนาดใหญ่ อวบแน่นและติดกับขอบหมวกดอกด้านใดด้านหนึ่ง มีโครงสร้างที่แน่น เนื้อหนาทกรอบ เมื่อนำไปปรุงอาหารเนื้อเห็ดจะนุ่ม มีรสชาติคล้ายเนื้อไก่ จึงมักนิยมนำเห็ดเป๋าฮื้อสดมาปรุงในตำรับอาหารจีน
คุณค่าทางอาหาร :
เห็ดเป๋าฮื้อ 100 กรัม ให้พลังงาน 34 กิโลแคลอรี
ประกอบด้วยโปรตีน 1.6 กรัม ไขมัน 0.4 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 1.0 กรัม แคลเซียม 3 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 78 มิลลิกรัม เหล็ก 1.1 มิลลิกรัม
ไนอะซิน 2.8 มิลลิกรัม และวิตามินซี 11 มิลลิกรัม
สรรพคุณทางยา :
ต่อต้านแบคทีเรียพวกกรัมบวก
และป้องกันโรคมะเร็ง และเชื่อว่าสามารถป้องกันโรคหวัดช่วยการไหลเวียนของเลือด และโรคกระเพาะได้อีกด้วยสรรพคุณทางยา :
ข้อมูลอ้างอิง: maejo.com
เห็ดฟางเป็นเห็ดยอดนิยมของคนไทย นิยมเพาะกันบนกองฟางข้าวชื้นๆ โคนมีสีขาว ส่วนหมวกสีน้ำตาลอมเทา หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดตลอดทั้งปีเดิมคนไทยเรียกเห็ดฟางว่า เห็ดบัว เพราะมีเกิดขึ้นได้เองในกองเปลือกเมล็ดบัวที่กะเทาะเมล็ดภายในออกแล้ว ต่อมาเมื่อมีการส่งเสริมให้ใช้ฟางเพาะจึงนิยม เรียกว่า เห็ดฟาง
ชื่อสามัญ Straw Mushroom
ชื่อวิทยาศาสตร์ Volvariella vovacea(Bull. Ex.Fr.) Sing
ชื่ออื่น เห็ดบัว ภาคอีสานเรียกว่า เห็ดเฟียง
ถิ่นกำเนิด ประเทศจีน
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
เห็ดฟางเป็นเห็ดที่ขึ้นตามกองฟาง ดอกตูมมีลักษณะเป็นก้อนกลมสีขาว
มีเยื่อหุ้มกระเปาะคล้ายถ้วย รองรับ ฐานเห็ดเรียกว่า ผ้าอ้อมเห็ด
เมื่อหมวกเห็ดเจริญเติบโตเต็มที่จะกางออก คล้ายร่ม ด้านบนของหมวกเห็ดจะสีเทาอ่อน
หรือเทาเข้ม ผิวเรียบและอาจมีขนละเอียดคลุมอยู่บางๆคล้ายเส้นไหม
ด้านล่างมีครีบดอกบางๆ ก้านดอกสีขาว เนื้อในแน่น ละเอียด
ฤดูกาล ตลอดปี
แหล่งปลูก สระบุรี นครนายก อยุธยา อ่างทอง สงขลา ขอนแก่น กาฬสินธุ์ สุราษร์ธานี และนครศรีธรรมราช การกิน เห็ดฟางนำมาปรุงอาหารได้หลายอย่าง เช่นยำเห็ดฟาง เห็ดฟางผัด ต้มยำเห็ดฟาง และแกงเลียงใส่เห็ดฟาง เป็นต้น
ฤดูกาล ตลอดปี
แหล่งปลูก สระบุรี นครนายก อยุธยา อ่างทอง สงขลา ขอนแก่น กาฬสินธุ์ สุราษร์ธานี และนครศรีธรรมราช การกิน เห็ดฟางนำมาปรุงอาหารได้หลายอย่าง เช่นยำเห็ดฟาง เห็ดฟางผัด ต้มยำเห็ดฟาง และแกงเลียงใส่เห็ดฟาง เป็นต้น
สรรพคุณทางยา เห็ดฟางมีสาร vovatoxin
ช่วยป้องกันการเติบโตของไวรัส ที่ทำให้เกิดไข้หวัดใหญ่ ช่วยลดปํญหาเกี่ยวกับไขมันในเส้นเลือดและโรคหัวใจได้
คุณค่าทางอาหาร เห็ดฟาง 100
กรัม ให้พลังงาน 35 kcal โปรตีน 3.2 กรัม ไขมัน 0.2 กรัม คาร์โบไฮเดรต 5 กรัม แคลเซียม 8 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 18 มิลลิกรัม เหล็ก 1.1 มิลลิกรัม ไนอะซิน 3.0 มิลลิกรัม วิตามินซี 7 มิลลิกรัม
เห็ดหูหนู
เห็ดหูหนู (Tree Ear)
หรือ เห็ดหูชัวะ, เห็ดหูหนูจีน
ชื่อวิทยาศาสตร์: Auricularia auricula Judae. วงศ์: Auriculariaceae เป็นเห็ดชนิดหนึ่งในหลายชนิด
ที่นิยมบริโภค และยังถือว่าเป็นยารักษาโรคอีกด้วย ดอกเห็ดมีลักษณะเป็นแผ่นวุ้น
คล้ายหูของหนู ไม่มีกลีบดอก มีก้านสั้นมากหรือไม่มี เกิดขึ้นได้ดีในสภาพธรรมชาติที่มีอากาศร้อนชื้น
เห็ดหูหนูสามารถเกิดขึ้นเองได้ตามขอนไม้ทั่วไปในช่วงฤดูฝนโดยเจริญออกมาจากขอนไม้หรือเปลือกไม้ที่ตายแล้ว
สีน้ำตาลแดง รูปพัดไม่มีด้าม กว้าง 2-6 เซนติเมตร หนา 1-2
มิลลิเมตร ผิวด้านบนเรียบและหยักเป็นคลื่นเล็กน้อย
ผิวด้านล่างสีอ่อนกว่า มีขนสั้นละเอียด และมีรอยจีบย่นหยักเป็นแผ่นรัศมีออกไปจากโคนที่ยึดติดกับขอนไม้เมื่อตัด
เนื้อเห็ดตามขวางจะปรากฏมี 6 แถบ สปอร์ รูปไส้กรอก ใส
ไม่มีสี ขนาด 5-6 x 13-15 ไมโครเมตร ผิวเรียบ
ก้านสปอร์รูปทรงกระบอก เห็ดหูหนูนอกจากจะรับประทานอร่อยแล้วก็ยังมีประโยชน์มากมาย
มีสารอาหารหลายตัวทั้งธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี และโปรตีน
อีกทั้งเห็ดหูหนูยังมีสรรพคุณช่วยลดความข้นของเลือด เพราะมี “สารอะดีโนซีน” ซึ่งเป็นสารตัวเดียวกับที่มีในกระเทียมและหอมหัวใหญ่
ช่วยลดความเหนียวข้นของเลือดจึงช่วยป้องกัน “โรคหลอดเลือดอุดตัน”
ทำให้เลือดไม่เป็นลิ่มเลือดไปอุดตันเส้นเลือดหัวใจ เส้นเลือดสมอง หรือเส้นเลือดที่อวัยวะอื่นๆ
นอกจากนี้เห็ดหูหนู
ยังมีสรรพคุณช่วยบำรุงกระเพาะ สมอง หัวใจ ปอด ตับ
แพทย์แผนจีนใช้เป็นอาหารบำรุงไตให้แข็งแรง ลดไข้ แก้ไอ กระตุ้นการทำงานของลำไส้
ช่วยบำรุงร่างกาย ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ กระจายโลหิต แก้ร้อนใน กระหายน้ำ
ต้มกับน้ำตาลกรวดจิบแก้ไอ
ข้อมูลอ้างอิง: กรมวิชาการเกษตร
l มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น